เมื่อวันที่ 25 - 26 สิงหาคม 2568 นางอรุณี ไฮม์ม รองอธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำแผนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นานาชาติ ระยะ 3 ปี (ปี 2569 - 2571) สำหรับหลักสูตรศึกษาระดับปริญญาโทนานาชาติ (Thailand International Postgraduate Programme: TIPP) และหลักสูตรฝึกอบรมนานาชาติ (Annual International Training Course: AITC) โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ชำนาญการจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนร่วมเป็นคณะกรรมการในการพิจารณาข้อเสนอหลักสูตร และมีสถาบันการศึกษา ประชาสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยกว่า 38 แห่ง นำเสนอใน 7 หัวข้อหลัก ดังนี้

1. Agriculture and Food Security (การเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร) จำนวน 44 หลักสูตร
2. Trade and Economy (การค้าและเศรษฐกิจ การขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่สมดุลและยั่งยืน) จำนวน 31 หลักสูตร
3. Inclusive Development (การพัฒนาที่ครอบคลุม) จำนวน 21 หลักสูตร
4. Health and Wellness (สาธารณสุขและสุขภาพ) จำนวน 75 หลักสูตร
5. Sufficiency Economy Philosophy (SEP) for SDGs (การประยุกต์ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในสาขาต่าง ๆ) จำนวน 25 หลักสูตร
6. Science, Technology and Innovation (STI) for Development (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม) จำนวน 23 หลักสูตร
7. Climate Resilience (ความสามารถในการรับมือต่อสภาพภูมิอากาศ) จำนวน 48 หลักสูตร

การประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนผลการดำเนินงานที่ผ่านมาและพิจารณาคัดเลือกหลักสูตร บรรจุในแผนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นานาชาติ ระยะ 3 ปี ฉบับที่ 4 (ปี 2569 - 2571) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อ ปรับทิศทางการดำเนินงานให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก โดยเชื่อมโยงการพัฒนาทุนมนุษย์ให้สอดคคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนแม่บทด้านการต่างประเทศของกระทรวงการต่างประเทศ วิสัยทัศน์อาเซียน 2045 กรอบความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UNSDCF) วาระปี 2565 - 2569 กับประเทศไทย และแนวคิดการเสริมสร้างความมั่นคง 4 ด้าน ได้แก่ ความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพ พลังงานและสิ่งแวดล้อม และอาชีพ รวมทั้ง เพื่อสนับสนุนการทูตเพื่อการพัฒนา (Development Diplomacy) ส่งเสริม Soft Power ของไทย และยกระดับศักยภาพและความเป็นนานาชาติของสถาบันการศึกษาและหน่วยงานของไทย พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างยั่งยืน